สอบ ก.พ. รอบ Paper และ e-Exam ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดีให้เหมาะกับคุณ

การสอบ ก.พ. ถือเป็นประตูด่านแรกของผู้ที่ต้องการเข้าสู่เส้นทางราชการ ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกสอบทั้งแบบ Paper(กระดาษ) และแบบ e-Exam (สอบผ่านคอมพิวเตอร์) หลายคนอาจยังลังเลว่าจะเลือกสอบรอบไหนดี หรือแต่ละแบบมีความแตกต่างอย่างไร บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจอย่างลึกซึ้ง พร้อมคำแนะนำว่ารูปแบบใดเหมาะกับคุณมากที่สุด

✳️ ทำความเข้าใจรูปแบบการสอบ ก.พ. ทั้ง 2 แบบ

📄 สอบ ก.พ. รอบ Paper คืออะไร

รอบ Paper คือการสอบในรูปแบบดั้งเดิม ผู้เข้าสอบจะได้รับข้อสอบเป็นกระดาษ และตอบโดยใช้ดินสอฝนคำตอบลงบนกระดาษคำตอบแบบ OMR โดยต้องเดินทางไปยังสนามสอบที่กำหนดไว้ในแต่ละจังหวัด ซึ่งมักจะจัดพร้อมกันทั่วประเทศในวันเดียว

🖥 สอบ ก.พ. รอบ e-Exam คืออะไร

e-Exam คือการสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ณ ศูนย์สอบที่มีการติดตั้งอุปกรณ์พร้อมใช้งาน โดยผู้สมัครสามารถเลือกวันและรอบสอบได้ตามสะดวก (ก่อนเต็ม) ระบบจะจับเวลาและแสดงคำถามบนหน้าจอ พร้อมส่งคำตอบเข้าสู่ระบบทันทีหลังสอบเสร็จ โดยปกติจะเปิดสอบ ปีละ 2–3 ครั้ง ทั้งในรอบปกติ และรอบพิเศษบางกลุ่ม (เช่น อายุ 18–25 ปี)

✳️ เปรียบเทียบความแตกต่างอย่างละเอียดระหว่าง Paper กับ e-Exam

แผนภาพสรุป การสอบ ก.พ. รอบ e-Exam และ Paper

1. วิธีการสอบ

🖥 e-Exam

  • ผู้เข้าสอบจะนั่งสอบผ่านคอมพิวเตอร์ในห้องสอบเฉพาะที่จัดเตรียมไว้
  • ใช้เมาส์และคีย์บอร์ดเลือกคำตอบ และคลิกเพื่อเปลี่ยนข้อ
  • ระบบจับเวลาอัตโนมัติขึ้นแสดงบนหน้าจอ
  • ห้ามพกกระดาษหรือเครื่องคิดเลขใด ๆ

📄 Paper-based

  • สอบด้วยการทำข้อสอบบนกระดาษคำถาม และเขียนคำตอบลงกระดาษคำตอบ (กระดาษฝน) แบบดั้งเดิม
  • ใช้ดินสอ 2B ฝนในช่องคำตอบ
  • มีผู้คุมสอบแจ้งเวลาเป็นระยะ

🟨 สรุป: e-Exam เหมาะกับคนที่คล่องใช้คอม ส่วนแบบกระดาษเหมาะกับคนถนัดอ่านและจด

2. จำนวนรอบสอบ และวันสอบ

🖥 e-Exam

  • มีหลายรอบให้เลือกในช่วงเวลาที่เปิดสอบ (เช่น 1–2 เดือน มีรอบเช้า/บ่ายทุกวันหยุด)
  • ผู้สมัครสามารถเลือกวัน–เวลาสอบได้ตามสะดวก (ก่อนเต็ม)

📄 Paper-based

  • มีเพียงวันเดียวเท่านั้นทั่วประเทศ (เช่น วันอาทิตย์เดียวกันทุกศูนย์สอบ)
  • หากพลาดวันสอบ = ต้องรอปีหน้า

🟨 สรุป: e-Exam ยืดหยุ่นกว่า เลือกวันสอบเองได้ ส่วน paper-based ต้องพร้อมในวันสอบเท่านั้น

3. ระยะเวลารู้ผลสอบ

🖥 e-Exam

  • ประกาศผลสอบเร็วมาก โดยทั่วไปใช้เวลา 1–2 สัปดาห์
  • เพราะระบบตรวจคำตอบได้ทันทีจากคอมพิวเตอร์

📄 Paper-based

  • ใช้เวลา 1–2 เดือนกว่าจะประกาศผลสอบ เนื่องจากต้องตรวจด้วยมือ + สแกน

🟨 สรุป: e-Exam ได้เปรียบด้านความรวดเร็วมาก โดยเฉพาะถ้าต้องใช้ผลสอบต่อยอดสมัครภาค ข

4. สถานที่สอบ

🖥 e-Exam

  • จำกัดเฉพาะศูนย์สอบที่มีห้องคอมพิวเตอร์ที่ได้มาตรฐาน
  • มักอยู่ในศูนย์สอบใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ขอนแก่น, สงขลา, นครราชสีมา, ชลบุรี, สุราษฎร์ธานี เป็นต้น
  • ในรอบที่ผ่านมามักเปิดประมาณ 12–15 ศูนย์สอบทั่วประเทศ โดยขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถานที่

📄 Paper-based

  • จัดสอบได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีศูนย์สอบย่อยรองรับทั้งในเขตอำเภอเมืองและบางอำเภอใหญ่
  • จำนวนศูนย์สอบในรอบที่ผ่านมามากกว่า 70 ศูนย์สอบ ครอบคลุมเกือบทุกจังหวัด
  • ตัวอย่างศูนย์สอบรอบที่ผ่านมา เช่น โรงเรียนบดินทรเดชา (กรุงเทพฯ), โรงเรียนสวนกุหลาบ (นนทบุรี), มหาวิทยาลัยราชภัฏในแต่ละจังหวัด, โรงเรียนประจำจังหวัด ฯลฯ

🟨 สรุป: รอบกระดาษมีศูนย์สอบกระจายครอบคลุมมากกว่า เหมาะกับผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางไกล ขณะที่ e-Exam เหมาะกับผู้ที่อยู่ใกล้ศูนย์สอบหลักหรือสามารถเดินทางได้

🖥 e-Exam

  • จำกัดเฉพาะศูนย์สอบที่มีห้องคอมพิวเตอร์ที่ได้มาตรฐาน
  • มักอยู่ในศูนย์สอบใหญ่ เช่น กทม. เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา

📄 Paper-based

  • จัดสอบได้ทุกจังหวัด และมีศูนย์สอบย่อยกระจายทั่วประเทศ
  • เหมาะกับผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางไกล

🟨 สรุป: รอบกระดาษมีศูนย์สอบครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่า

5. บรรยากาศภายในห้องสอบ

🖥 e-Exam

  • ห้องสอบจะเงียบ มีคอมพิวเตอร์วางเรียงราย มีเจ้าหน้าที่ดูแลใกล้ชิด
  • แสงไฟจากหน้าจออาจทำให้ล้าตาได้ ต้องใช้สมาธิสูง
  • มีระบบล็อกหน้าจอและควบคุมความปลอดภัยเคร่งครัด

📄 Paper-based

  • ห้องสอบอาจเป็นห้องเรียน หอประชุม หรือห้องประชุมขนาดใหญ่
  • ผู้เข้าสอบนั่งเป็นแถว มีเจ้าหน้าที่เดินตรวจ
  • อากาศและเสียงรบกวนขึ้นอยู่กับแต่ละศูนย์สอบ

🟨 สรุป: e-Exam เงียบและเป็นระบบกว่า แต่ paper-based อาจให้ความรู้สึกคุ้นเคยกว่า

6. การจัดการเวลา

🖥 e-Exam

  • ระบบจะนับถอยหลังบนหน้าจอให้ดูตลอดเวลา
  • เปลี่ยนข้อได้ แต่ต้องคลิกเพื่อ “ยืนยันส่งคำตอบ” เมื่อหมดเวลา

📄 Paper-based

  • มีนาฬิกาส่วนตัว และผู้คุมสอบคอยแจ้งเวลา
  • ฝนคำตอบก่อนหมดเวลา ต้องเผื่อเวลากะเวลาเอง

🟨 สรุป: e-Exam เหมาะกับคนที่ชอบระบบจัดการเวลาอัตโนมัติ แต่ paper อาจต้องวางแผนเวลาเอง

7. โอกาสสอบต่อปี

🖥 e-Exam

  • ก.พ. มักเปิดสอบปีละ 2–3 ครั้ง ทั้งรอบปกติและพิเศษ (เช่น สำหรับนักศึกษา หรือช่วงอายุ 18–25 ปี)

📄 Paper-based

  • โดยทั่วไปเปิดสอบปีละครั้ง

🟨 สรุป: e-Exam มีความยืดหยุ่นและโอกาสสอบมากกว่า

8. ข้อควรระวังในการสอบแต่ละแบบ

🖥 e-Exam

  • ต้องเดินทางไปศูนย์สอบใหญ่ อาจอยู่ไกลและที่นั่งมีจำนวนจำกัด ต้องรีบจอง
  • หากไม่ชินกับการอ่านบนหน้าจอหรือพิมพ์คีย์บอร์ด อาจทำให้เหนื่อยหรือล้าเร็ว
  • ระบบคอมพิวเตอร์มีความเสี่ยง เช่น ค้าง หรือหลุดจากระบบ แม้จะมีเจ้าหน้าที่ดูแล แต่ก็สร้างความกังวลได้

📄 Paper-based

  • ห้ามลืมบัตรประชาชน ดินสอ 2B ยางลบ และอุปกรณ์ที่จำเป็น
  • ต้องระวังการฝนคำตอบผิดช่องหรือฝนไม่ครบ ซึ่งอาจทำให้ระบบตรวจไม่เจอคำตอบ
  • ไม่สามารถแก้ไขคำตอบได้ง่ายเหมือน e-Exam ต้องระมัดระวังตั้งแต่ต้น

✳️ สรุป: ก.พ. เปิดให้เลือกสอบหลายแบบ เพื่อความเหมาะสมของแต่ละคน

การเลือกสอบ ก.พ. แบบ Paper หรือ e-Exam ขึ้นอยู่กับความถนัดและข้อจำกัดส่วนบุคคล การรู้จักรูปแบบทั้งสองอย่างละเอียดจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น และพร้อมสอบได้อย่างมั่นใจ

หากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกแบบไหนดี หรืออยากทดลองทำแนวข้อสอบทั้งสองแบบก่อนสอบจริง แนะนำให้เริ่มจากการ ดาวน์โหลดแนวข้อสอบ ก.พ. ฟรี หรือ สมัครคอร์สติวเข้ม ก.พ. กับผู้เชี่ยวชาญด้านการเตรียมสอบ เพื่อช่วยให้คุณสอบผ่านได้ในครั้งเดียว


📌 อยากสอบผ่าน “ ก.พ. ” ในรอบเดียว ?

สมัครเรียนคอร์สติว สอบ ก.พ. ออนไลน์ได้แล้ววันนี้
📚 เรียนครบ 4 วิชาหลัก มากกว่า 100 ชั่วโมง รายละเอียดครอสเพิ่มเติม
📍 สมัครได้ผ่าน Shopee , Lazada หรือ Line
📍 ต้องการคำปรึกษา คำแนะนำ ตอบแชท 24 ชม. ฟรี

🎥 ทดลองเรียนฟรี + แนวข้อสอบแจกฟรี

ดูรีวิวสอบผ่านกว่า 5,000 คนทั่วประเทศ

📌 คอร์สติว ก.พ. ครบทุกเนื้อหา กฎหมาย – คณิต – ภาษาอังกฤษ – วิเคราะห์

คอร์สนี้ได้รับการออกแบบจากประสบการณ์สอนกว่า 7 ปี มีผู้เรียนกว่า 20,000 คน
เน้นเนื้อหาที่ออกสอบบ่อย พร้อมเทคนิคจำแม่น สรุปเข้าใจง่าย ใช้ได้จริงในสนามสอบ

👉🏻 สมัครเรียนติวสอบ ก.พ. คลิกที่นี่
📥 ดาวน์โหลดแนวข้อสอบ ก.พ. ฟรี
📢 ติดตามข่าวสารและข้อสอบใหม่ที่เพจของเรา

แชร์บทความนี้...